จงอย่าเป็นคนประมาท เพราะคนประมาทได้ชื่อว่าตายเสียแล้ว
คนทุกวันนี้มีชีวิตอยู่อย่างเป็นผู้ประมาทเป็นเสียส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้สนใจในเรื่องการปฏิบัติธรรมในด้านจิตตะภาวนา มองเรื่องการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของคนแก่บ้าง หรือคนไม่มีอะไรจะทำบ้าง หรือคนที่สิ้นหวังในชีวิตทางโลกบ้าง หรืออ้างว่าไม่มีเวลาที่จะมาปฏิบัติธรรมบ้าง หรือคิดว่ารอให้มั่งมีเสียก่อนแล้วจึงมา การคิดการมองเช่นนั้นจัดเป็นคนประมาท และได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ตายเสียแล้ว คือตายเสียจากความดีที่ควรจะได้ การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่จะต้องเข้าไปอาศัยสถานที่ป่าเขาลำนำไพรที่สงัดสงบวิเวก หรือในวัดวาอารามอย่างเดียว ในการปฏิบัติธรรม ในชีวิตประจำวันของเราก็ปฏิบัติธรรมได้ เพราะการปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นมุ่งเอาฌานเพื่อข่มกิเลส นั้นเป็นการปฏิบัติธรรมในรูปแบบ “เจโตสมาธิ” จึงต้องอาศัยสิ่งเหล่านั้นเป็นองค์ประกอบในการปฏิบัติธรรม รูปแบบเจโตสมาธินี้ ยังต้องอาศัยอุปนิสัยเดิม ในอดีตชาติที่เคยเป็นโยคีฤษีชีไพรจึงจะทำได้ดี คนทั่วไปจะทำได้ยากมากๆ และไม่เหมาะกับการเป็นอยู่ของคนที่ยังต้องอยู่ในโลก
การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือมุ่งหมาย ในการระงับกิเลสกามคือความอยาก ละบาปอกุศลคือความเศร้าหมองไม่ให้เกิดขึ้นในจิตตะสันดานของเรา เพราะอกุศลคือรากเหง่าของความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นสาเหตุให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นจนเป็นทุกข์ และเพื่อให้จิตเป็นบุญคือความสบายใจ ให้จิตเป็นกุศลคือความขาวสะอาดมีความผ่องใส การปฏิบัติธรรมสามารถทำได้ในทุกโอกาส ทุกสถานที่ เพียงมีความเพียรในการท่องธัมมะภาวนาไว้ในใจของตนอยู่เสมอๆ ในชีวิตประจำวันว่า “อย่ายินดียินร้าย...อย่าว่าร้ายใคร...อย่าคิดร้ายใคร...” การท่องเอาไว้เสมอๆจะทำให้เกิดความรู้ตัวในจิตใต้สำนึก อันเป็นเหตุให้มีสติ ถอนความรู้สึกยินดียินร้ายในโลกออกเสียได้ ถอนความคิดว่าร้ายใครๆในโลกออกเสียได ถอนความคิดพยาบาทมุ่งปองร้ายใครๆในโลกออกเสียได้ จิตของเราก็จะมีความสงบสุขเป็นอธิจิต(จัดเป็นสมถะกรรมฐาน) มีสติในการพูดจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ เป็นอธิศีล มีตาปัญญาเกิดขึ้นรู้แจ้งเห็นแจ้งในสภาวธรรมต่างๆ เป็นอธิปัญญา(จัดเป็นวิปัสสนากรรมฐาน) ผู้ปฏิบัติธรรมจัดเป็นผู้ไม่ประมาท และเป็นผู้ไม่ตายเสียจากความดีที่ควรจะได้ นี่เป็นการปฏิบัติธรรมในรูปแบบปัญญาสมาธิ คือการมีธัมมะอบรมจิตของตนให้สงบ ดังนี้.
โดยหลวงพ่ออุดม มหาปุญโญ วัดป่าหนองเลง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น