วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

ถ้าเราไม่ได้ทำความผิด 5 อย่าง (ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกามไม่พูดเท็จ และดื่มน้ำเมา) อยู่ที่ไหนเราก็มีศีล อยู่ในป่าในดงก็มีศีลอยู่ในรถในราก็มีศีล ให้เข้าใจศีลตรงนี้ ที่คอยจะรับจากพระนั้นไม่ใช่

ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย


พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ถือกำเนิดในสกุล สุวรรณรงค์ เมื่อวันอาทิตย์ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 9 ปีกุล
ตรงกับวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2442 ที่บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม
จังหวัดสกลนคร บิดาของท่านคือ เจ้าไชยกุมาร (เม้า) ซึ่งเป็นหลานของพระเสนาณรงค์
เจ้าเมืองพรรณานิคม มารดาชื่อ นุ้ย เป็นบุตรีของ หลวงประชานุรักษ์ จะเห็นได้ว่า
เชื้อสายของท่านเป็นขุนนางทั้งฝ่ายบิดาและฝ่ายมารดา เป็นเชื้อสายขุนนางเก่าแก่ของหมู่ชน
ที่เรียกว่า ผู้ไทย ซึ่งอพยพมาจากประเทศลาวในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระอาจารย์ฝั้น เคยเล่าว่า บรรพบุรุษของท่านได้ข้ามมาแต่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงเป็นครอบครัว
ใหญ่เรียกว่าไทยวัง หรือไทยเมืองวัง (ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งอยู่ในเขตมหาชัยของประเทศลาว)

บิดาของท่านพระอาจารย์เป็นคนที่มีความเมตตาอารี ใจคอกว้างขวางเยือกเย็น เป็นที่นับหน้า
ถือตา จึงได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านม่วงไข่ ต่อมาบิดาของท่านได้อพยพพร้อมกับครอบครัวอื่นๆ
อีกหลายครอบครัว ไปตั้งหมู่บ้านใหม่ในที่อุดมสมบูรณ์กว่าเดิม เพราะเป็นพื้นที่ที่มีลำห้วยอูน
ผ่านทางทิศใต้ และลำห้วยปลาหางอยู่ทางทิศเหนือ เหมาะแก่การทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์
และเลี้ยงไหม ตั้งชื่อว่าบ้านบะทอง โดยมีบิดาของท่านเป็นผู้ใหญ่บ้านต่อไป

เมื่อครั้งยังอยู่ในวัยเยาว์ พระอาจารย์มีความประพฤติเรียบร้อย นิสัยใจคอเยือกเย็น
อ่อนโยน โอบอ้อมอารีกว้างขวาง เช่นเดียวกับบิดาของท่าน ทั้งยังมีความขยันหมั่นเพียร
อดทนต่ออุปสรรคหนักเอาเบาสู้ ช่วยเหลือกิจการงานของบิดามารดา และญาติพี่น้อง
โดยไม่เห็นแก่ความลำบากยากเย็นใดๆ ทั้งสิ้น

ด้านการศึกษา พระอาจารย์ฝั้นได้เริ่มเรียนหนังสือที่วัดบ้านม่วงไข่ (วัดโพธิ์ชัย) สอนโดย
ครูหุน ทองคำ และครูตัน วุฒิสาร ตามลำดับ พระอาจารย์เมื่อครั้งนั้นเป็นผู้มีความขยัน
หมั่นเพียรในการศึกษาเป็นอันมาก สามารถเขียนอ่านได้รวดเร็วกว่าเด็กอื่นๆ ถึงขนาด
ได้รับความไว้วางใจจากครูให้สอนเด็กคนอื่นๆ แทน ในขณะที่ครูมีกิจจำเป็น

พระอาจารย์ฝั้นเคยคิดจะเข้ารับราชการจึงได้ตามไปอยู่กับนายเขียน อุปพงศ์ ผู้เป็นพี่เขย
ซึ่งเป็นปลัดเมืองฝ่ายขวา ที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อศึกษาเล่าเรียนต่อไปชั้นสูงขึ้น
ในช่วงนี้เองท่านได้พิจารณาเห็นความยุ่งเหยิงไม่แน่นอนของชีวิตคฤหัสถ์ ได้เห็นการปราบปราม
ผู้ร้าย มีการฆ่าฟันกัน มีการประหารชีวิต ครั้งนั้นพี่เขยได้ใช้ให้เอาปิ่นโตไปส่งนักโทษอยู่เสมอ
ท่านได้เห็นนักโทษหลายคนแม้เคยเป็นใหญ่เป็นโต เช่น พระยาณรงค์ฯ เจ้าเมืองขอนแก่น
ต้องโทษฐานฆ่าคนตาย นายวีระพงษ์ ปลัดซ้ายก็ถูกจำคุก แม้แต่นายเขียน พี่เขยของท่าน
เมื่อย้ายไปเป็นปลัดขวาอำเภอกุดป่อง จังหวัดเลย ก็ต้องโทษฐานฆ่าคนตายเช่นกัน
สภาพของบรรดานักโทษที่ท่านประสบมาทั้งโทษหนักโทษเบา นับได้ว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้
ท่านรู้จักปลง และประจักษ์ถึงความไม่แน่นอนของชีวิต ท่านได้สติบังเกิดความเบื่อหน่ายในทางโลก
จึงเลิกคิดที่จะรับราชการและตัดสินใจบวช เพื่อสร้างสมบุญบารมีในทางพุทธศาสนาต่อไป

ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา


ชีวิตสมณะของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ.2461 เมื่อท่านอายุได้ 19 ปี
ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดโพธิ์ทอง บ้านบะทอง อำเภอพรรณานิคม และในปี พ.ศ.2462
ถัดมา ท่านได้อุปสมบทเป็นภิกษุฝ่ายมหานิกาย ที่วัดสิทธิบังคม ตำบลบ้านไร่ อำเภอพรรณานิคม
มีพระครูป้อง นนตะเสน เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระอาจารย์นวลและพระอาจารย์สังข์
เป็นพระกรรมวาจาจารย์และพระอนุสาวนาจารย์ หลังจากออกพรรษาปีนั้น
ท่านได้ย้ายไปอยู่ที่วัดโพธิ์ทอง บ้านบะทอง จึงได้ปฏิบัติธรรม อบรมกัมมัฏฐาน
ตลอดจนการออกธุดงค์อยู่รุกขมูลกับท่านอาจารย์อาญาครูธรรม

ปีถัดมา 2463 ท่านได้พบ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งได้เที่ยวธุดงค์มาพร้อมด้วยภิกษุสามเณร
หลายรูป และพักที่ป่าช้าข้างบ้านม่วงไข่ (ปัจจุบันเป็นวัดภูไทสามัคคี) เมื่อได้ฟังธรรมจาก
พระอาจารย์มั่น ท่านบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในสติปัญญาความสามารถของ พระอาจารย์มั่น
จึงขอมอบตัวเป็นศิษย์พร้อมท่านอาญาครูดี และพระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน เนื่องจากทั้งสามท่าน
ยังไม่พร้อมในเครื่องบริขารจึงยังไม่ได้ธุดงค์ตามอาจารย์มั่นไปในขณะนั้น

เมื่อทั้งสามท่านได้เตรียมเครื่องบริขารเรียบร้อยแล้ว ประจวบกับได้พบกับ พระอาจารย์ดูลย์
อตุโล ซึ่งเป็นศิษย์ของพระอาจารย์มั่นมาก่อน และกำลังเดินธุดงค์ ติดตามหาพระอาจารย์มั่นเช่นกัน
พระอาจารย์ฝั้นจึงได้ศึกษาธรรมเรียนวิธีฝึกจิตภาวนาเบื้องต้นจากพระอาจารย์ดูลย์
จากนั้นทั้งสี่ท่านได้ร่วมกันเดินธุดงค์ติดตามพระอาจารย์มั่น โดยพระอาจารย์ดูลย์เป็นผู้นำทาง
จนได้พบพระอาจารย์มั่นที่บ้านตาลโกน อำเภอสว่างแดนดิน ท่านทั้งสี่ได้ศึกษาธรรมกับ
พระอาจารย์มั่นที่นั่นเป็นเวลา 3 วัน จากนั้นจึงได้ไปกราบนมัสการพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล
(ผู้ซึ่งได้ร่วมเผยแพร่ธรรมกับพระอาจารย์มั่น) ที่บ้านหนองดินดำ แล้วจึงไปรับการอบรมธรรม
จากพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ที่บ้านหนองหวายเป็นเวลา 7 วัน จากนั้นจึงไปที่บ้านตาลเนิ้ง
และได้ไปรับฟังธรรมจากพระอาจารย์มั่นเสมอๆ

เมื่ออาจารย์ฝั้นได้รับการศึกษาอบรมธรรมะจากพระอาจารย์มั่นและได้ฝึกกัมมัฏฐาน
จนจิตใจมั่นคงแน่วแน่ บำเพ็ญภาวนาได้ตลอดรอดฝั่ง โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ มารบกวนได้แล้ว
ท่านจึงได้ตัดสินใจทำการญัตติเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2468
ที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี โดยมีท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอาจารย์รถ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์มุก เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ท่านพระอาจารย์ฝั้น ได้ไปจำพรรษาแรกกับพระอาจารย์มั่น ที่วัดอรัญวาสี อำเภอท่าบ่อ
จังหวัดหนองคาย ร่วมกับเพื่อนสหธรรมิกหลายรูป เช่น พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน
พระอาจารย์อ่อน ญาณศิริ และพระอาจารย์กว่า สุมโน ออกพรรษาปีนั้นท่านได้เดินธุดงค์
เลียบไปกับฝั่งแม่น้ำโขงเที่ยวธุดงค์ไปหลายแห่ง วกกลับมายังวัดอรัญวาสี แล้วธุดงค์ติดตาม
และพบพระอาจารย์มั่นที่บ้านสามผง อำเภอท่าอุเทน (ปัจจุบัน อำเภอศรีสงคราม)
ซึ่งท่านได้รับมอบหมายให้จำพรรษาและโปรดญาติโยมที่บ้านดอนแดงคอกช้าง
อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม

หลังออกพรรษาท่านพระอาจารย์ฝั้น ได้ร่วมกับหมู่คณะออกเผยแพร่ธรรมทางจังหวัดอุบลราชธานี
โดยได้รับเอาโยมมารดาของพระอาจารย์มั่นไปอุบลฯ ด้วย ในปี 2470 นี้ท่านได้จำพรรษาที่
บ้านบ่อชะเนง อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอุบลราชธานี ร่วมกับอาจารย์กู่ เทศนาสั่งสอนญาติโยม
ที่นั่น พ.ศ.2471 ท่านได้ไปจำพรรษาที่บ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร
หลังออกพรรษาท่านได้ไปเผยแพร่ธรรมที่จังหวัดขอนแก่น ได้จำพรรษาที่จังหวัดขอนแก่น
เป็นเวลา 3 ปี ระหว่างนั้นท่านได้อบรมสั่งสอนชาวบ้านให้เลิกนับถือผีเลิกกลัวผี
ให้หันมานับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถือศีล 5 และภาวนาพุทโธ ท่านเป็นที่พึ่ง
และให้ความอบอุ่นแก่ชาวบ้านทั่วไป คนคลอดลูกยาก คนไอไม่หยุด คนถูกผีเข้า
คนมีมิจฉาทิฏฐิหลอกลวงชาวบ้าน ท่านช่วยเหลือแก้ไขด้วยอุบายธรรมะได้หมดสิ้น
ตัวท่านเองบางครั้งก็อาพาธเช่น ระหว่างที่จำพรรษาบนภูระงำ อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น
ท่านปวดตามเนื้อตามตัวอย่างมาก ท่านก็ใช้ธรรมโอสถ โดยนั่งภาวนาในอิริยาบทเดียว
ตั้งแต่ทุ่มเศษจนกระทั่ง 9 โมงเช้า ทำให้อาการอาพาธหายไปหมด พ้นจากการทุกข์ทรมาน
และทำให้ท่านก้าวหน้าในทางธรรมเพิ่มขึ้นด้วย

ระหว่างปี พ.ศ.2475-2486 พรรษาที่ 8-19 ท่านได้จำพรรษาที่จังหวัดนครราชสีมาโดยตลอด
แต่ในระหว่างนอกพรรษาท่านจะท่องเที่ยวไปเพื่อเผยแพร่ธรรมและตัวท่านเองก็ได้ศึกษา
และปฏิบัติธรรมด้วย เช่น ก่อนเข้าพรรษาปี 2475 ท่านพระอาจารย์ฝั้น พร้อมด้วย
พระอาจารย์สิงห์และพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล ได้เดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อเยี่ยมอาการป่วย
ของเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) โดยพักที่วัดบรมนิวาสเป็นเวลา 3 เดือน
เมื่อออกพรรษาปี พ.ศ.2477 ท่านได้เดินธุดงค์ไปในดงพญาเย็น ท่านได้พบเสือนอนหันหลังให้
ในระยะที่ใกล้มาก ท่านสำรวมสติเดินเข้าไปใกล้ๆ มัน แล้วร้องถามว่า "เสือหรือนี่?"
เจ้าเสือผงกหัวหันมาตามเสียงแล้วเผ่นหายเข้าป่าไป เมื่อเดือน 3 พ.ศ.2479
พระอาจารย์ฝั้นพร้อมด้วยพระอาจารย์อ่อน ได้ไปนมัสการพระอาจารย์มั่นที่วัดเจดีย์หลวง
จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อได้อยู่ใกล้ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านจึงได้เร่งความเพียรทั้งกลางวัน
และกลางคืน เล่ากันว่าท่านทั้งสองต่างสามารถมองเห็นกันทางสมาธิได้โดยตลอด
ทั้งๆ ที่กุฏิห่างกันเป็นระยะทางเกือบ 500 เมตร

ออกพรรษาปี พ.ศ.2486 พระอาจารย์ฝั้นได้ออกธุดงค์จากวัดป่าศรัทธาราม อำเภอเมือง
จังหวัดนครราชสีมา ไปพักวิเวกภาวนาตามป่าเขาที่เห็นว่าสงบเงียบพอเจริญกัมมัฏฐานได้
และขณะเดียวกันก็สั่งสอนธรรมะช่วยเหลือชาวบ้านที่มีความทุกข์ยาก และพาชาวบ้าน
พัฒนาหมู่บ้านและความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ท่านธุดงค์ผ่านไปเขาพนมรุ้งต่อไปจังหวัดสุรินทร์
จนกระทั่งถึงจังหวัดอุบลราชธานี โดยจำพรรษาปี พ.ศ.2487 ที่วัดบูรพา จังหวัดอุบลฯ นี้เอง
พระอาจารย์ฝั้นมีหน้าที่เข้าถวายธรรมแก่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ซึ่งกำลังอาพาธ
(ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรคชรา) และใช้ความรู้ทางด้านสมุนไพรรักษาโรคปอดแก่ท่านอาจารย์มหาปิ่น
จนกระทั่งออกพรรษาปีนั้น ปรากฏว่าทั้งสมเด็จฯ และพระมหาปิ่นมีอาการดีขึ้น

ปี พ.ศ.2488-2496 ท่านพระอาจารย์ฝั้นได้จำพรรษาที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ อำเภอเมือง
จังหวัดสกลนคร ซึ่งเดิมชื่อวัดป่าธาตุนาเวง เป็นป่าดงดิบอยู่ห่างจากตัวเมือง 5 กิโลเมตรเศษ
ท่านได้นำชาวบ้านและนักเรียนพลตำรวจพัฒนาวัดขึ้นจนเป็นหลักฐานมั่นคง ในพรรษา
ท่านจะสั่งสอนอบรมทั้งศิษย์ภายใน (คือพระเณรและผ้าขาว) และศิษย์ภายนอก
(คืออุบาสกอุบาสิกา) อย่างเข้มแข็งตามแบบฉบับของท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ทุกวันพระ
พระเณรต้องฟังเทศน์แล้วฝึกสมาธิและเดินจงกรมตลอดคืน อุบาสกอุบาสิกาบางคนก็ทำตามด้วย
ช่วงออกพรรษาท่านก็มักจะจาริกไปกิจธุระหรือพักวิเวกตามที่ต่างๆ เช่น บริเวณเทือกเขาภูพาน
เป็นต้น ช่วงปี พ.ศ.2491 ท่านไปวิเวกที่ภูวัวและได้สร้างพระพุทธรูปบนหน้าผาที่สวยงามมาก
ออกพรรษาปี พ.ศ.2492 ได้ติดตามพระอาจารย์มั่นถึงวัดสุทธาวาสที่จังหวัดสกลนคร
และเฝ้าอาการพระอาจารย์มั่นจนถึงแก่มรณภาพ ออกพรรษา ปี พ.ศ.2493-2495
ท่านได้ไปเผยแพร่ธรรมแถวภาคตะวันออกเช่นที่จันทบุรี บ้านฉาง (จ.ระยอง) และ ฉะเชิงเทรา
ในระหว่างนั้นก็แวะเผยแพร่ธรรมไปตามที่ต่างๆ ด้วย เช่น ที่วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ
และวัดป่าศรัทธาราม นครราชสีมา เป็นต้น

ราวกลางพรรษาปี พ.ศ.2496 ท่านพระอาจารย์ฝั้นได้ปรารถกับศิษย์ทั้งปวงเสมอว่าท่านได้
นิมิตเห็นถ้ำแห่งหนึ่งทางตะวันตกของเทือกเขาภูพาน เป็นที่อากาศดี สงบและวิเวก
พอออกพรรษาปีนั้นเมื่อเสร็จกิจธุระต่างๆ แล้ว ท่านได้พาศิษย์หมู่หนึ่งเดินทางไปถึงบ้านคำข่า
พักอยู่ในดงวัดร้างข้างหมู่บ้าน เมื่อคุ้นกับชาวบ้านแล้วท่านได้ถามถึงถ้ำในนิมิต
ในที่สุดชาวบ้านได้พาท่านไปพบกับถ้ำขามบนยอดเขายอดหนึ่ง ซึ่งเป็นที่พอใจของท่านมาก
เพราะเป็นที่วิเวกจริงๆ ทิวทัศน์สวยงามมองเห็นถึงจังหวัดสกลนคร อากาศดี
สงัดและภาวนาดีมาก ดัานหลังถ้ำเต็มไปด้วยต้นไม้

ออกพรรษาปี พ.ศ.2505 ท่านพระอาจารย์ได้ลงไปพักที่วัดป่าอุดมสมพร
เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศและเพื่อจะได้สั่งสอนอบรมโปรดชาวบ้านพรรณา
อำเภอพรรณานิคมบ้าง วัดป่าอุดมสมพรนี้เดิมเป็นป่าช้าติดกับแหล่งน้ำชื่อหนองแวง
ที่บ้านบะทอง ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นบ้านเดิมของท่าน
ท่านเคยธุดงค์มาพักชั่วคราวเพื่อบำเพ็ญกุศลทักษิณานุประทานแด่บุพการี
ครั้งเมื่อออกพรรษาปี 2487 พร้อมด้วยพระอาจารย์อ่อน ญาณศิริ และพระอาญาครูดี
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สถานที่แห่งนั้นก็ได้มีพระภิกษุสามเณรอยู่จำพรรษามาโดยตลอด
จนกระทั่งได้กลายเป็นวัดป่าอุดมสมพร

ด้วยนิสัยนักพัฒนา ช่วงที่พักที่วัดป่าอุดมสมพร (2505) ท่านพระอาจารย์ได้นำญาติโยม
พัฒนาเส้นทางจากโรงเรียนบ้านม่วงไข่ไปถึงบ้านหนองโคก ท่านไปประจำอยู่กับงานทำถนน
ทั้งวันอยู่หลายวันจนอาพาธเป็นไข้สูง และต้องยอมเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสกลนคร
และเดินทางไปรักษาตัวต่อที่กรุงเทพฯ เมื่ออาการทุเลาแล้วจึงเดินทางกลับสกลนคร
เนื่องด้วยท่านยังมีความดันเลือดค่อนข้างสูง แพทย์จึงได้ขอร้องให้ท่านงดขึ้นไปจำพรรษา
บนถ้ำขาม เพราะสมัยนั้นยังต้องเดินขึ้น ดังนั้นท่านจึงจำพรรษาปี 2506 ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์

ช่วงปี พ.ศ.2507 จนถึงพรรษาสุดท้ายของท่านคือ ปี พ.ศ.2519 ท่านพระอาจารย์ฝั้น
จำพรรษาที่วัดป่าอุดมสมพรโดยตลอด จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแห่งอายุขัย
ท่านได้พัฒนาวัดนั้นเป็นการใหญ่ มีการขุดขยายหนองแวงให้กว้างและลึกเป็นสระใหญ่
สร้างศาลาใหญ่เป็นที่ชุมนุมสำหรับการกุศลต่างๆ สร้างกุฏิ โบสถ์น้ำ พระธาตุเจดีย์
ถังเก็บน้ำและระบบท่อส่งน้ำ ถึงแม้ว่าท่านจะจำพรรษาที่วัดป่าอุดมสมพร แต่วัดถ้ำขาม
และวัดป่าภูธรพิทักษ์ก็ยังอยู่ในความรับผิดชอบและอุปการะของท่าน ท่านยังคงไปๆ มาๆ
ด้วยความห่วงใยอยู่เสมอ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2519 องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงทอดผ้าพระกฐิน
ที่วัดป่าอุดมสมพร ซึ่งท่านจำพรรษาอยู่ และได้ทรงนิมนต์ท่านเข้าไปพักที่วัดบวรนิเวศวิหาร
เมื่อวันที่ 22 เดือนเดียวกัน อีกชั่วระยะเวลาหนึ่งระหว่างที่พักในวัดบวรฯ ล้นเกล้าฯ
ทั้งสองพระองค์ยังได้เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมเยียนและสนทนาธรรมกับท่านนอกจากนั้นล้นเกล้าฯ
ทั้งสองพระองค์ยังได้เสด็จไปเยี่ยมเยียนท่านที่วัดป่าอุดมสมพรเป็นการส่วนพระองค์เมื่อวันที่
14 ตุลาคม พ.ศ.2518 อีกด้วย

ท่านพระอาจารย์ฝั้นได้มรณภาพ เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2520 ด้วยอาการอันสงบ

ท่านพระอาจารย์ฝั้น เป็นผู้มีระเบียบเรียบร้อย สมกับที่ท่านสืบตระกูลมาจากผู้สูงศักดิ์
นอกจากนั้นท่านมีความขยันหมั่นเพียรอย่างเอกอุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบำเพ็ญภาวนา
การอบรมสั่งสอนศิษย์ หรือการก่อสร้างอาคารถนนหนทาง ท่านถือเอาการงานและหน้าที่
เป็นเรื่องสำคัญข้อแรก ส่วนความสะดวกสบายนั้นเป็นข้อรอง และท่านปฏิบัติเช่นนี้
โดยสม่ำเสมอมาตั้งแต่หนุ่มจนถึงวัยชรา

คุณประสพ วิเศษศิริ เล่าถึงกิจวัตรประจำวันตามปกติของท่านพระอาจารย์ฝั้น
จากประสบการณ์ที่ได้บวชในช่วงปี 2512 ที่วัดป่าอุดมสมพร ไว้ในหนังสืออนุสรณ์อายุครบ
60 ปี ของคุณประสพเองว่า

"03.00 น. ท่าน (พระอาจารย์) ตื่น พระและเณรผลัดเปลี่ยนเวรกันถวายน้ำบ้วนปากและล้างหน้า
เสร็จแล้วท่านก็นั่งภาวนาบนกุฏิชั้นบน 04.00 น. พระและเณรทั้งวัดตื่นทำความสะอาดร่างกาย
แล้วนั่งภาวนา 05.00 น. จัดบาตรลงศาลา กวาดถู จัดที่นั่งฉัน ตั้งกระโถน กาน้ำฯ 06.00 น.
เตรียมบาตร ซ้อนผ้าคลุม ยืนรอท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านจะนำบิณฑบาตทุกๆ เช้า ท่านอาจารย์ใหญ่
ไม่เคยขาดการบิณฑบาตเลย มาระยะหลังๆ ท่านอาพาธก็ยังพยายามบิณฑบาตในวัด
พระและเณรทุกๆ รูปก็ต้องออกบิณฑบาตเป็นกฎของวัด นอกเสียจากรูปใดเร่งความเพียร
ตั้งสัจจะว่าจะไม่ฉันอาหารจึงไม่ต้องบิณฑบาตในวันที่ไม่ฉัน 07.00 น. ถึง 08.00 น. เริ่มฉัน
และฉันในบาตรโดยวิธีสำรวม พระ เณร ผ้าขาว ฉันเหมือนกันหมด อาหารอย่างเดียวกัน
พระเถระผู้ใหญ่ท่านจะตักอาหารแล้วก็ส่งองค์รองลงมาต่อๆ กันไปจนตลอดแถวประมาณ 09.00 น.
ฉันอาหารเสร็จเป็นอันว่าเสร็จเรื่องการฉันไปหนึ่งวัน เพราะกฎของวัดฉันเพียงมื้อเดียว
ท่านอาจารย์ใหญ่ยังคงรับแขกญาติโยมบนศาลา จนกว่าท่านจะเห็นสมควรขึ้นกุฏิ
ส่วนพระเณรอื่นๆ นอกจากรูปไหนที่เป็นเวรคอยรับใช้ปรนนิบัติท่านก็ช่วยกันเก็บกวาดอาสนะ
ให้เรียบร้อย และนำบาตร กระโถน กาน้ำ แก้วน้ำไปล้าง สำหรับบาตรต้องรักษาให้ดี
ยิ่งล้างให้สะอาดเช็ดให้แห้ง แล้วนำไปเปิดฝาผึ่งแดดบนระเบียงกุฏิ 10.00 น. ถึง 11.00 น.
เดินจงกรม 11.00 น. ถึง 12.00 น. พักผ่อนตามอัธยาศัย เวลา 12.00 น. ถึง 15.00 น.
นั่งภาวนา สาธยายหนังสือ สวดมนต์ ทบทวนพระปาฏิโมกข์ หรือไม่ก็จะเดินจงกรม
สุดแต่อัธยาศัย แต่ข้อสำคัญที่สุดก็คือ ห้ามคุยกันเล่นไม่ว่าเวลาไหน เวลา 15.00 น.
ตีระฆังลงศาลา ฉันน้ำปานะ โกโก้ กาแฟ หรือน้ำอัดลม ตามแต่ศรัทธาของเขาจัดถวาย
เวลา 15.30 น. พระเณรทุกรูปลงปัดกวาดลานวัดเสร็จแล้วทำความสะอาดส้วม
และตักน้ำใส่ห้องส้วมให้เต็มทุกห้อง เวลา 17.00 น. ผลัดเปลี่ยนกันไปสรงน้ำอาจารย์ใหญ่
ผู้ที่ไม่ได้รับเวรสรงน้ำอาจารย์ใหญ่ก็ไปสรงน้ำตามกุฏิของตน เสร็จแล้วไปคอยอาจารย์ใหญ่
อยู่บนกุฏิของท่านเพื่อรับการอบรมจากท่านต่อไป เมื่อท่านอบรมแล้วใครมีปัญหาอะไร
เป็นต้นว่า ภาวนาเห็นนิมิตอะไร หรือสงสัยปัญหาธรรมอะไร ขัดข้องตรงไหนจะเรียนถามท่านได้
ท่านจะคลายปัญหาต่างๆ เหล่านั้นได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน เวลา 19.00 น. ตีระฆังทำวัตรเย็น
(สวดมนต์เย็น) โดยอาจารย์ใหญ่ท่านจะเป็นผู้นำไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้วท่านจะแสดงธรรม
โปรดและนำนั่งสมาธิต่อจนถึงเวลา 23.00 น. บางครั้งก็ถึงเวลา 24.00 น. ถ้าเป็นวันพระ
จะประชุมฟังธรรมจนสว่างแต่ท่านจะหยุดพักเป็นระยะๆ เมื่อเหนื่อยก็อนุญาตให้พักเปลี่ยนอิริยาบถ
ยืดเส้นยืดสาย เข้าห้องน้ำและฉันน้ำ เสร็จแล้วก็เดินจงกรมต่อ สำหรับอาจารย์ใหญ่
ท่านจะไม่ลงจากศาลาจนรุ่งเช้า สว่างแล้วก็แยกย้ายกันกลับกุฏิของตน
ใครจะเดินจงกรมต่อหรือจะทำกิจวัตรสุดแต่อัธยาศัย"

ธรรมโอวาท


ธรรมโอวาทของท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ได้รับการรวบรวมโดย คุณหมออวย เกตุสิงห์
ไว้ในหนังสืออนุสรณ์งานศพพระอาจารย์ฝั้น อาจารเถระ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรกเป็นพระธรรมเทศนากัณฑ์ใหญ่ว่าด้วย "พระอภิธรรมสังคินี มาติกา"
เป็นงานประพันธ์ของพระอาจารย์ตั้งแต่สมัยท่านยังหนุ่ม และท่านได้เขียนไว้ด้วย "อักษรธรรม"
เป็นลายมือของท่านเองงดงามมาก ส่วนที่สองเป็นพระธรรมเทศนา (อาจาโรวาท)
ที่ท่านแสดงให้ฟังและมีผู้จดจำหรืออัดเทปไว้ ในส่วนนี้มีทั้งหมด 15 กัณฑ์
ในที่นี้จะยกมาเฉพาะบางส่วนในอาจาโรวาท เล่มที่ 8 ดังนี้

"บุญกุศลนั้นก็ไม่ใช่อื่นไกล ก็ได้แก่ทานบารมี ศีลบารมี ภาวนาบารมีนี้แหละ ทานก็รู้อยู่แล้ว
คือการสละหรือการละการวาง ผู้ใดละมากวางได้มาก ก็เป็นผลานิสงส์มาก ผู้ใดวางได้น้อย
ละได้น้อยก็มีผลานิสงส์น้อย มัจฉริยะความตระหนี่เหนียวแน่นนี้หละคือความโลภ
ต้องสละเสียให้เป็นผู้บริจาค ก็บริจาคทรัพย์สมบัติวัตถุทั้งหลายเหล่านั้นหละไม่ใช่อื่นไกล
แปลว่าทะนุบำรุงตน เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านจะสำเร็จมรรคผล ท่านก็ได้สร้างบารมีมา
คือทานบารมี อันนี้นี่ให้เข้าใจไว้ ทานเป็นเครื่องสะเบียงของเรา เมื่อเราได้ทำไว้พอแล้ว
เราจะเดินทางไกลเราก็ไม่ต้องกลัว อุปมาเหมือนกับเดินทางมาวัดนี้หละ ถ้าเราไม่ได้เตรียมอะไรมา
มันก็ไม่มี ถ้าเตรียมมาแล้วเราก็ไม่ต้องกลัวอดกลัวอยาก กลัวทุกข์กลัวยาก ของเก่าเราได้ทำมาไว้
ถ้าอะไรเราไม่ได้ทำมาแล้วเราก็ไม่ได้ อยากได้สิ่งโน้น อยากได้สิ่งนี้ อยากเป็นโน้น อยากเป็นนี่
เราไม่ได้ทำไว้ ไม่ได้สร้างไว้ อยากได้มันก็ไม่ได้ ถ้าได้ทำไว้แล้วสร้างไว้แล้ว ไม่อยากได้มันก็ได้
นี่หละทานบารมีเหตุนี้ให้พากันเข้าใจ

ศีลบารมีล่ะ คนเราเพียงแต่รับศีลไม่ได้รักษาศีล เข้าใจว่าศีลนั่นเป็นของพระ ถ้าพระไม่ให้แล้ว
ก็ว่าเราไม่ได้ศีล อย่างนี้เป็นสีลัพพตปรามาส เพียงแต่ลูบคลำศีลแท้ที่จริงนั้นศีลของเราเกิดมา
พร้อมกับเรา ศีล 5 บริบูรณ์ตั้งแต่เกิดมา ขา 2 แขน 2 ศีรษะ 1 อันนี้คือตัวศีล 5 เราได้จากมารดา
ของเราเกิดมาก็มีพร้อมแล้ว เมื่อเรามีศีล 5 บริสุทธิ์อย่างนี้ก็ให้เรารักษาอันนี้หละ
รักษากายของเรา รักษาวาจา รักษาใจให้เรียบร้อย อย่าไปกระทำโทษน้อยใหญ่ทางกาย
ทางวาจา ทางใจของเรา โทษ 5 คืออะไร คือ ปาณาติปาตา ท่านให้งดเว้น อย่าไปทำนั่นเป็นโทษ
ไม่ใช่ศีล อทินนาทานา นั่นก็เป็นโทษไม่ใช่ศีล กาเมสุมิจฉาจารา นั่นก็ไม่ใช่ศีลเป็นแต่โทษ
มุสาวาทา ท่านให้งดเว้นมันเป็นโทษไม่ใช่ศีล สุราเมรยมชฺชฯ อันนี้ก็เป็นแต่โทษ
ถ้าเราไม่ได้ทำความผิด 5 อย่างนี้ อยู่ที่ไหนเราก็มีศีล อยู่ในบ้านในช่องก็มีศีล
อยู่ในป่าในดงก็มีศีล อยู่ในรถในราเราก็มีศีลให้เข้าใจศีลตามนี้ ที่คอยจะรับจากพระนั้นไม่ใช่
ท่านก็บอกว่าอย่าไปทำ 5 อย่างนั้นให้ละเว้น เมื่อเราละเว้นแล้วอยู่ที่ไหนก็มีศีล เราก็เป็นคน
บริสุทธิ์บริบูรณ์ ศีล 5 อย่างนั้นเราไม่อยากได้ไม่ปรารถนา เหตุฉันใดจึงว่าไม่อยากได้พิจารณาดูซี่
สมมติว่ามีคนมาฆ่าเราหรือมาฆ่าพี่ฆ่าน้องญาติพงษ์ของเรา เราดีใจไหมล่ะ เราไปฆ่าเขาล่ะ
เขาดีใจไหมพิจารณาดูซี่ เราไม่ต้องการอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้นโทษของเราก็ไม่มี
เกิดมาอายุก็ยืนนาน ไม่ตายแต่น้อยแต่หนุ่มก็เพราะเราไม่ได้ทำปาณาติบาตไว้ในหลายภพหลายชาติ
แม้ในชาตินี้ก็เหมือนกัน เราฟังธรรมก็ฟังในชาตินี้แล้วก็ปฏิบัติในชาตินี้ในปัจจุบันนี้
เราไม่ต้องคำนึงถึงอดีตอนาคต เรากำหนดให้รู้เดี๋ยวนี้ เรานั่งอยู่นี่ก็เป็นศีลอยู่นี่ข้อสำคัญ

เหตุนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนไว้ให้ละเว้นโทษที่เราไม่พึงปรารถนา เช่น อทินนาทานการขโมย
อย่างนี้หละ เขามาขโมยข้าวขโมยของขโมยเล็กขโมยน้อยของเราเราก็ไม่อยากได้ หรือโจรปล้น
สะดมอย่างนี้เราก็ไม่อยากได้ท่านจึงให้ละ ถ้าเราไม่ได้ขโมยของใครไม่ว่าในภพใดภพหนึ่ง
เราก็ไม่ถูกโจรไม่ถูกขโมย ไม่มีร้ายไม่มีภัยอะไรสักอย่าง เราละเว้นแล้วโจรทั้งหลายก็ไม่มี
โจรน้ำ โจรไฟ โจรลมพายุพัดก็ไม่มี นี่เป็นอย่างนี้ กาเมก็เช่นเดียวกัน เกิดมามีสามีภรรยามีบุตร
ปรองดองกันอันเดียวกัน เกิดคนมาละเมิดอย่างนี้เราก็ไม่อยากได้ ว่ายากสอนยากหรือทะเลาะ
เบาะแว้งกันเราก็ไม่อยากได้ ถ้าเราละเว้นโทษกาเมนี้แล้วมันก็ไม่มีโทษหละ มุสาวาทาก็พึงละเว้น
มีคนมาฉ้อโกงหลอกลวงเราเราก็ไม่อยากได้คิดดูซี เราไปหลอกลวงฉ้อโกงเขาเขาก็ไม่อยากได้
เช่นเดียวกัน นี่หละพระพุทธเจ้าท่านจึงได้ละเว้น มันเป็นโทษคนไม่ปราถนา ถ้าเรารักษาศีลนี้แล้ว
เราก็สบายไปไหนก็สบายซี่ไม่มีโทษเหล่านี้แล้ว สุราการมึนการเมาเราละกันแล้วเราก็ไม่อยากได้
ภรรยาขี้เมา สามีขี้เมา ลูกขี้เมา พ่อแม่พี่น้องขี้เมาเราก็ไม่อยากได้ เมื่อไม่มีเมาแล้วจะทะเลาะ
เบาะแว้งกันที่ไหนเล่า เกิดมากรรมให้โทษ เช่น คนเป็นใบ้บ้าเสียจริตผิดมนุษย์เป็นลมบ้าหมู
เราก็ไม่อยากได้ หูหนวกตาบอดเป็นใบ้อย่างนี้เราก็ไม่อยากได้ ขี้ทูดกุดถังกระจอกงอกง่อยเป็นคน
ไม่มีสติปัญญาเราก็ไม่อยากได้ พระพุทธเจ้าจึงได้ละเว้นโทษเหล่านี้ เมื่อเราทั้งหลายละเว้นแล้ว
เราไปไหนก็อยู่เย็นเป็นสุขสนุกสบาย ฉะนี้เมื่อเราสมาทานศีล พระท่านจึงบอกว่า สีเลน สุคติ ยนฺติ
ผู้ละเว้นแล้วมีความสุข สีเลน โภคสมฺปทา เราก็มีโภคสมบัติไปในภพไหนก็ได้ ในปัจจุบันก็ดีเป็นคน
ไม่ทุกข์เป็นคนไม่จนด้วยอำนาจของศีลนี้ สีเลน นิพฺพุติ ยนฺติ จะไปพระนิพพานก็อาศัยศีลนี้เป็นต้น

ต่อไปนี้ให้ทำบุญโดยเข้าที่ภาวนานั่งดูบุญดูกุศลของเรา จิตใจมันเป็นยังไงดูให้มันรู้มันเห็นซี่ อ
ย่าสักแต่ว่าสักแต่ทำ เอาให้มันเห็นจริงแจ้งประจักษ์ซี่ เราต้องการความสุขความสบาย
แล้วมันได้ตามต้องการไหม เราก็มาฟังดูว่าความสุขความสบายมันอยู่ตรงไหน เราก็นั่งให้สบาย
วางกายของเราให้สบาย วางท่าวางทางให้สง่าผ่าเผยยิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อกายเราสบายแล้ว
เราก็วางใจให้สบายรวมตาเข้าไปหาดวงใจ หูก็รวมเข้าไป เมื่อใจสบายแล้วนึกถึงคุณพระพุทธเจ้า
อยู่ในใจ พระธรรมอยู่ในใจ พระอริยสงฆ์อยู่ในใจ เราเชื่อมั่นอย่างนั้นแล้วจึงให้นึกคำบริกรรม
ภาวนาว่า "พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ" 3 หนแล้วรวมเอาคำเดียวให้นึกว่า "พุทฺโธ พุทฺโธ" หลับตา
งับปากเสีย ตาเราก็เพ่งเล็งดูตำแหน่งที่ระลึกพุทโธนั่น มันระลึกตรงไหน หูเราก็ไปฟังที่ระลึก
พุทโธนั่น สติเราก็จ้องดูที่ระลึก พุทโธ พุทโธ จะดูทำไมเล่าดูเพื่อให้รู้ว่าตัวของเรานี่เป็นสุข
หรือเป็นทุกข์ มันดีหรือมันชั่ว จิตของเราอยู่ในกุศลหรืออกุศลก็ให้รู้จัก ถ้าจิตของเราเป็นกุศล
มันเป็นยังไง คือจิตมีความสงบมันไม่ส่งหน้าส่งหลังส่งซ้ายส่งขวาเบื้องบนเบื้องล่าง
ตั้งอยู่จำเพาะท่ามกลางผู้รู้ มันมีใจเยือกใจเย็นใจสุขใจสบาย จิตเบากายมันก็เบาไม่หนักไม่หน่วง
ไม่ง่วงไม่เหงา หายทุกข์หายยากหายความลำบากรำคาญสบายอกสบายใจ นั่นแหละตัวบุญ
ตัวกุศลแท้ นี้จะได้เป็นบุญเป็นวาสนาเป็นบารมีของเราเป็นนิสัยของเราติดตนนำตัวไปทุกภพทุกชาติ
นี่แหละให้เข้าใจไว้ จิตของเราสงบเป็นสมาธิคือกุศล อกุศลเป็นยังไงคือจิตเราไม่ดี จิตทะเยอทะยาน
จิตดิ้นรนพะวักพะวง จิตทุกข์จิตยาก จิตไม่มีความสงบมันเลยเป็นทุกข์ เรียกว่าอกุศล
ธรรมทั้งหลายกุศลธรรมอกุศลธรรมอันนี้เป็นกรรมในศาสนา ท่านว่ากรรมทั้งหลายไม่ได้อยู่ในที่อื่น
กมฺมสฺสโกมฺหิ กรรมนั้นเป็นของๆ ตน กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ตสฺส ทายาทา ภวิสฺสนฺติ
เราทำกรรมอันใดไว้เป็นบุญหรือเป็นบาป เราจะได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป เราจะรู้ได้ยังไง
กุศลกรรม พิจารณาดูซี่กรรมทั้งหลายมันไม่ได้อยู่อื่น กายกรรม แน่ะ มันอยู่ในกายของเรานี้
มันเกิดจากกายของเรานี้ วจีกรรม มันเกิดจากวาจาของเรานี้ไม่ได้เกิดจากอื่นไกล มโนกรรม
มันเกิดจากดวงใจของเรานี้แหละให้รู้จักไว้ ต่อไปเราไม่ต้องสงสัยว่ากรรมมันมาจากไหน
ใครเป็นผู้ทำล่ะ เดี๋ยวนี้เรารู้ เราเป็นผู้ทำเอาเอง ไม่ใช่เทวบุตรเทวดาทำให้ เราทำเอาเอง
ที่นั่งอยู่เดี๋ยวนี้หละเราทำบุญ บุญอันนี้เป็นอย่างเลิศอย่างประเสริฐแท้ คือเราให้ทานร้อยหนพันหน
ก็ตามอานิสงส์ไม่เท่าเรานั่งสมาธิ นี้มีผลานิสงส์เหมือนทำบุญอย่างที่สุดแล้ว"

ปัจฉิมบท


เมื่อครั้งที่พระอาจารย์ฝั้น ยังเป็นสามเณรอยู่นั้น ท่านได้เอาใจใส่ศึกษาและเคร่งครัดในพระธรรม
วินัยเป็นอันมาก ถึงขนาดคุณย่าของท่านได้พยากรณ์เอาไว้ว่า "ในภายภาคหน้า ท่านจะเข้าไป
อาศัยอยู่ในป่าขมิ้นจนตลอดชีวิต ระหว่างนั้นจะสร้างแต่คุณความดีอันประเสริฐเลิศล้ำค่า
จะเป็นผู้บริสุทธิ์ผ่องใส ประชาชนทุกชั้นตั้งแต่สูงสุดจนต่ำสุด ทุกเชื้อชาติศาสนาที่ได้ฟังพระธรรม
เทศนาของท่าน จะบังเกิดความเลื่อมใสในตัวท่านและรสพระธรรมที่ท่านเทศนาเป็นอันมาก"
คำพยากรณ์ของคุณย่าของท่านมิได้ผิดความจริงเลย เมตตาธรรมและคุณความดีของท่าน
เป็นที่ประจักษ์แก่บรรดาสานุศิษย์และบรรดาสาธุชนโดยทั่วไป

ความเมตตาของท่านพระอาจารย์แสดงออกตั้งแต่การให้ของเล็กๆ น้อยๆ หรือการยอมทำตาม
คำขอร้องง่ายๆ ขึ้นไปจนถึงการให้ของที่สำคัญๆ และการกระทำที่ยากๆ แม้จนกระทั่งสิ่งที่ท่านเอง
ไม่อยากกระทำ แต่ถ้าถึงขีดที่เป็นการผิดพระวินัย ท่านจะไม่ยอมเป็นอันขาด คุณหมออวยได้เล่าไว้
ในหนังสืออนุสรณ์งานศพพระอาจารย์ฝั้น อาจารเถระ ตอนที่ 8 กรุณามหณณโว ความว่า
"ผู้เขียนเคยเห็นครั้งหนึ่งมีพระอธิการจากวัดหนึ่งในจังหวัดอื่น มาขออนุญาตทำของอะไรบางอย่าง
เกี่ยวกับตัวท่านเพื่อเอาไปให้เช่าหารายได้ปรับปรุงวัด พยายามอ้อนวอนเท่าไรๆ ท่านก็ไม่ยอม
เพราะท่านขัดข้องต่อการขาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หลวงพ่อเงินวัดบางคลานพิจิตร

ด้านหน้า ด้านหลัง พระผงรูปเหมือนข้างพัดหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน พิจิตร เนื้อเก่ายุคต้นๆ ราคาเบาๆ ครับ  ๙๙๙.๙๙๙ บาท โทร 08722...